สารบัญ
ล้อกระทะผ่า คืออะไร
หลักนิยามการให้เหตุผลที่ปัจจุบันนิยมหันมาใช้ล้อกะทะผ่ากัน มีดังนี้
- ฐานล้อ รถยนต์ทื่ใช้อยู่มันแคบ
- ส่วนล้อเดิมที่ติดกับรถมา ก็มีหน้ากว้าง แค่เพียง 5.5 นิ้ว กว้างไม่พอ สำหรับยางใหญ่ๆ หน้ากว้างๆ
- ก็เลยต้อง ทำการผ่าขยาย หน้ากว้าง ของล้อกระทะ อาจจะ 7 นิ้ว 7.5 นิ้ว หรือ 8 นิ้ว
- เมื่อทำการผ่าขยายแล้ว ใส่ยาง ใหญ่ๆ หน้ากว้างๆ แล้ว ก็ต้องขยับหน้าแปลน เพื่อเลื่อนออฟเซท ของกระทะ เพื่อ หลีกเลี่ยงปัญหาขณะเลี้ยวล้อรถ และยางที่จัดหามาด้วยราคาแสนแพง ไปเสียดสีกับแหนบ หรือซุ้มล้อ
- แต่ถ้าหากถามต่ออีกว่า ล้อแม็ก ก็มี หน้าก็กว้าง ทำไมไม่ใช้กัน ซึ่งมีคำตอบ โดยหลักการนี้ว่าล้อแม็ก ที่ออฟเซทลบ เยอะๆ ลบมากๆ มันหายากมากๆ อีกทั้งถ้า ลบเยอะๆ อย่างที่เคยเห็น อย่างที่ เคยใช้ ก็ แค่ ลบ 27 ราคา ค่าตัว ก็จะมีราคาแพงขึ้นไปอีก
- แต่ถ้าหากยาง ไม่่ใหญ่่โตมโหฬาร ล้อแม็ก ออฟเซทลบ5 ลบ10 หรือ ลบ 15 ก็ใช้ได้
ซึ่งในยุค นี้ สมัย นี้ ก็ กะทะที่ปั๊ม ขึ้นรูป มาจากโรงงานแลย ความเสถียร ของกระทะ จะมีมาก กว่า กระทะผ่าแบบก่อน เพราะ ว่า กระทะผ่า จะผ่าแบบเข้าเครื่องกลึง ผ่าออก แล้ว ม้วนเหล็กมา เชื่อมต่อระหว่าง รอยผ่า ของกระทะ เชื่อมรอบ กลึงเก็บ รอยรอบวง และกลึงล้างหน้าแปลนใหม่ เพื่อ ให้ได้ศูนย์ไม่ให้แกว่ง แล้วขัด ทำสี ต่อไป
ในปัจจุบันนี้คนส่วนใหญ่ก็นิยมชอบล้อแม็กที่มีคุณสมบัติ กลมแน่นอน และเบาน้้ำหนัก ก็ จะน้อยกว่ากระทะเหล็ก แต่ก็จะทำให้ล้อยื่น ออกมาโดยการ รองสเปเซอร์หรืออะแดปเตอร์
การผ่าอีกแบบ หรือ ที่เรียกว่า เปลี่ยนหน้าแปลน
วิธีโดยการ นำกะทะล้อขอบ 16 ของ รถ ปิ๊คอัพ มาทำการวัดขนาดกะทะล้อ และกลึงหน้าแปลน ออกแล้วนำหน้าแปลน ของวิทาร่า จะขอบ 15 หรือ 16 สามารถนำมาประกอบ รวมกันให้เป็น หนึ่งเดียว ทำแบบนี้ ก็ได้ เหมือนกัน ต้นทุนก็พอควร
- กะทะเดิม วิทาร่า ขอบ 15 หรือ จิมนี่ ขอบ 16
- กะทะรถปิค อัพ ราคา ก็ ขายๆกัน ตก วงละ ประมาณ 800 – 1000 หน่อยๆ ก็ แล้วแต่ ความสามารถ ในการ สรรหา
- เข้า โรงกลึง ดำเนินการ เปลี่ยนหน้าแปลน ซะ เลือก ออฟเซท เอา ว่า จะ ถ่างมาก ถ่างนิดหน่อย หรือ ชอบถ่างเยอะๆตามใจชอบ
- ส่งทำสี
ล้อกระทะผ่า ยี่ห้อไหนดี
ล้อกระทะ ปัจจุบันมีหลากหลายยี่ห้อหรือแบรนด์ที่แตกต่างกันไป แต่ลักษณะในการใช้งานนั้นคล้ายๆกัน ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการใช้งานให้มีประสิทธิภาพมากแค่ไหน เพียงเลือกใช้ยี่ห้อที่มีผู้ให้การยอมรับและสนใจ แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับคุณภาพ และการรับประกันของกระทะผ่าเหล่านั้นด้วย วันนี้จึงมียี่ห้อกระทะผ่า มาแนะนำ
1.กะทะผ่า D-Max มีราคา :
กะทะผ่า 15×7 นิ้ว
เหมาะสำหรับใช้กับรถยี่ห้อรุ่น ISUZU D-MAX, NISSAN NAVARA
2.กะทะผ่า 15 วีโก้ มีราคา :
กะทะล้อ 15 นิ้ว 5 รู กว้าง 7 นิ้ว
เหมาะสำหรับใช้กับรถยี่ห้อรุ่น TOYOTA VIGO-TIGER , MITSUBISHI TRITRON
3.กะทะผ่า 14 วีโก้ ราคา :
กะทะผ่า 5 รู 14 นิ้ว
เหมาะสำหรับใช้กับรถยี่ห้อรุ่น TOYOTA VIGO,
4.กะทะผ่า D-Max ราคา :
กะทะล้อ 6 รู 14 นิ้ว กว้าง 7 นิ้ว
เหมาะสำหรับใส่รถบรรทุก ISUZU D-MAX
โดยหลักๆนั้น สามารถหาซื้อได้ตามแหล่งขายล้อกระทะโดยเฉพาะบางร้านก็มีหลากหลายขอบ ในส่วนของราคาสามารถนำมาเปรียบเทียบกันหลายๆร้าน ราคาหลักๆจะอยู่ที่ประมาณ 2,300 ขึ้นไปแล้วแต่ลักษณะของรุ่นรถและแบรนด์ของล้อกระทะอีกด้วย ยี่ห้อรุ่นที่กล่าวมานั้น ถือเป็นยี่ห้อหลักๆที่กลุ่มคนนิยมส่วนใหญ่เลือกใช้งาน และมุ่งหวังประสิทธิภาพให้การใช้งานคุ้มทนทานอีกด้วย
วันนี้จะพามาชม การจัดอันดับ 10 อันดับ กระทะล้อ ต้องบอกก่อนเลยว่า อันดับที่เราจัดเรียง เป็นการจัดเรียงตามความนิยมที่ผู้ซื้อสินค้า ซื้อใช้จริงจากเว็บขายสินค้าชั้นนำต่าง ๆ เราได้รวบรวมและเรียงตามคะแนนเรทติ้งสินค้า เพื่อนำมาให้ท่านได้เลือกสรร เลือกซื้อกัน เพื่อประกอบการตัดสินใจซื้อ เพื่อท่านจะได้ของที่ดี มีคุณภาพ สมราคากัน ไปดูกันได้เลยครับเป็นยังไงกันบ้างละครับทุกท่าน สำหรับ ที่ดีที่สุดที่เราได้คัดสรรมาให้ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ให้กับท่านที่กำลังมองหาอยู่บ้างไม่มากก็น้อย สำหรับท่านที่สนใจ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับกันได้เลยโดยท่านสามารถคลิกที่ปุ่มรายละเอียดเพิ่มเติมได้เลย ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม
#ซื้อไหนดี #ขายที่ไหน #ซื้อที่ไหน #ที่ไหนดี #เก็บเงินปลายทาง #ส่งฟรี
หมายเหตุ : การจัดอันดับสินค้า อ้างอิงจากคะแนนรีวิวสินค้าจากผู้ซื้อสินค้าจริง
5 เคล็ดลับ เกี่ยวกับล้อกระทะ
ส่วนประกอบสำคัญสำหรับรถยนต์ที่จะต้องใช้ในชีวิตประจำวันล้อและยางเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญของรถยนต์ ซึ่งมีราคาสูงการจะทำอะไรกับอุปกรณ์เหล่านี้ จึงต้องมีความรู้ถึงรายจ่ายปัญหาหรือข้อดีข้อเสียที่จะตามมา เช่น ความแข็งแรง ราคา การดูแลรักษาความประหยัดน้ำมัน ฯลฯ
ล้อกระทะและยางมาตรฐานทั่วไป
รถยนต์ราคาประหยัดหรือรุ่นต่ำๆ หรือรถปิ๊กอัพจะเน้นใช้กระทะเหล็กเป็นหลัก ซึ่งมีข้อดีในเรื่องความแข็งแรง และมักจะเป็นกระทะล้อขนาดเล็ก ยางก็จะมีราคาถูกเช่นกัน การใช้ล้อกระทะจึงประหยัดเงินที่จะต้องจ่ายไปกับยางรถยนต์ อย่างล้อกระทะขอบ 13 นิ้วกับยางขนาดที่รองรับ ทั้ง 4 เส้น บางยี่ห้อไม่ถึง 5000 บาทก็มี แต่เมื่อเปลี่ยนไปใช้ล้อแม็กขนาด 15 นิ้วจะต้องใช้กับยางขอบ 15 เช่นกัน ซึ่งอาจจะมีราคาเกือบ 10,000 บาท เลยทีเดียว แพงกว่ากันเท่าตัว
ล้อกระทะเหล็กอาจจะมีข้อดีในเรื่องความทนทาน แข็งแรง ราคาที่ถูกกว่า และยางที่รองรับก็มีราคาถูกกว่า แต่ก็มีน้ำหนักมาก ทำให้เปลืองน้ำมันมากกว่าล้อแม็กโดยเฉพาะล้อแบบอลูมิเนียมซึ่งเบากว่าและสวยงามกว่า หากต้องการประหยัดเงินในเรื่องนี้ การใช้ล้อกระทะและยางขนาดมาตรฐานย่อมดีกว่าแน่นอน แต่หากต้องการความประหยัดน้ำมันด้วยแล้ว ก็ต้องใช้ล้อแม็กขนาดเล็ก ประหยัดทั้งเงินและประหยัดน้ำมัน
การเลือกขนาดของล้อแม็กควรเลืกขนาดที่เท่ากับล้อกระทะจะเป็นเรื่องดี หากเกิดเหตุไม่คาดคิด ขับรถชนฟุตบาท ตกหลุม หรือเกิดการชนในรูปแบบต่างๆ ที่ทำให้ล้อแม็กได้รับความเสียหาย ก็ยังกลับไปใช้ล้อกระทะได้เหมือนเดิม ไม่ต้องเปลี่ยนยาง
ฝาครอบล้อกระทะเหล็ก
ล้อกระทะเหล็กจะไม่สวยงามนัก ก็ยังมีทางเลือกด้วยการใช้ฝาครอบล้อ ซึ่งมีหลายแบบหลายสไตล์ให้เลือกเปลี่ยนได้ทุกวัน ราคาไม่แพง ดูแลง่าย เปลี่ยนสีเองได้ ใช้การพ่นได้ตามใจชอบ
ล้อแม็กและยาง
รถแต่ละคันที่ผลิตออกมานั้นจะมีการคำนวณขนาดของล้อและยางที่เหมาะสมมาแล้ว เช่น อาจจะใช้ล้อกระทะขนาด 13 นิ้ว, 14 นิ้ว, 15 นิ้ว แต่หากต้องการความสวยงาม การเปลี่ยนไปใช้ล้อแม็กจะมีลายให้เลือกหลายแบบ สามารถตกแต่งรถให้สวยงามได้ไม่ยาก แต่สิ่งสำคัญที่จะต้องรู้ก็คือ การเปลี่ยนขนาดของล้อและยางทีใหญ่เกินไป จะส่งผลเสียกับรถ เช่น การกินน้ำมัน ค่าใช้จ่าย การดูแล ราคา เป็นต้น
เรื่องของล้อกระทะ ล้อแม็ก และยาง แม้จะมีผู้แชร์ความรู้และประสบการณ์ในการใช้งานมากมาย แต่หลายคนก็พร้อมที่จะจ่ายแพง เพื่อแลกกับความสวยงามของรถ จนกว่าจะพบว่า ความสวยงามนั้นได้สร้างปัญหาการเงินและปัญหาในการดูแลที่ตามมา จึงจะเริ่มหยุดคิดและหยุดทำ จากนั้นก็จะเน้นใช้รถมาตรฐานหรือใช้งานแบบแสตนดาร์ด เพราะไม่จุกจิก ประหยัดเงิน ขับสบายไม่กระด้าง นิ่มนวลกว่า
แม็กและยางติดรถป้ายแดงจะมีความทนทานมากกว่าแม็กทั่วไป ดังนั้นก่อนจะเปลี่ยนแม็กติดล้อมากับรถ จึงต้องคิดให้ดี แม็กถูกออกแบบมากับรถโดยเฉพาะจึงใช้งานได้ดีกว่า สีไม่ลอกง่ายๆ แต่ต้องระวังฉี่สุนัข หากต้องการเปลี่ยนจากกระทะล้อเป็นแม็กควรเลือกแม็กมาตรฐานเป็นลำดับแรก ทนทานกว่ามาก
การที่จะใช้งานเกี่ยวกับล้อนั้นต้องทำการเช็คก่อนว่ารถของเราเหมาะกับล้อแบบไหน แล้วสามารถออกตัวได้ปกติหรือเปล่าสามารถใช้งานได้อย่างง่ายและทนทานหรือไม่เพื่อประสิทธิภาพของรถและประโยชน์ในการใข้งานอีกด้วย
ยี่ห้อ รุ่น ยางสำหรับรถกระบะที่น่าสนใจ
ปัจจุบันนิยมใช้รถกระบะ เพื่อสะดวกง่ายต่อการใช้งาน โดยที่เราจะต้องคำนึงถึงยางรถกระบะจะมีความแตกต่างกับยางรถเก๋ง เพราะต้องเผื่อใช้งานบรรทุกของหนักด้วยจึงต้องเลือกซีรีย์ยางที่สูงๆไว้ก่อน ยกเว้นคุณซื้อรถกระบะมาแต่งเพื่อความสวยงามก็แล้วแต่ชอบเลยเลือกลายดอกยาง สวยๆแก้มยางต่ำๆก็โอเคอันนี้คงไม่ต้องสอนจระเข้ว่ายน้ำแล้วเหล่าขาซิ่งเค้า เลือกกันได้ แต่สำหรับคนที่ไม่ได้ช่ำชองเรื่องรถ ลองอ่านบทความนี้เอาไว้เป็นข้อมูลตัดสินใจซื้อยางจะได้คุ้มค่ากับเงินที่ ต้องเสียไป
มาทำความรู้จักกับแบรนด์ต่างๆของยางกันเถอะ
1.ยี่ห้อ Bridgestone รุ่น Duravis R611 เหมาะกับใช้งานชีวิตประจำวัน จุดเด่นยางรุ่นนี้ตอบสนองความนุ่มสบาย เป็นยางเอนกประสงค์ที่ไม่ได้บรรทุกของหนักมาก หากจะใช้บรรทุกของหนักเชิงพาณิชย์ให้ไปใช้ยาง รุ่น LEO 677 หรือ รุ่น LEO 627 เพราะออกแบบโครงสร้างยางให้มีคุณสมบัติทนทานทุกสภาพการใช้งานหนักทุกรูปแบบ เป็นรุ่นพิมพ์นิยมของค่ายนี้เค้าแหละราคาคบหาได้
2. ยี่ห้อ MICHELIN รุ่น XCD2 เหมาะกับใช้เชิงพาณิชย์ จุดเด่นยางชนิดนี้เหมาะสำหรับรถกระบะบรรทุกและตู้ เป็นรุ่นยอดนิยม มีสมรรถนะยางที่ดีจึงควบคุมการขับขี่ได้อย่างแม่นยำ มีความกระด้างมีบ้างตามคุณลักษณะของยางรถบรรทุกเชิงพาณิชย์ ถ้าอยากได้ความนุ่มนวลเพิ่มขึ้นต้องใช้ รุ่น AGILIS ที่เจ้าของแบรนด์เคลมว่านุ่มเงียบประหยัดน้ำมัน เพราะออกแบบลดแรงต้านทานลง 8% และมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้นด้วยราคาประมาณ 3 พันต้นๆ
3. ยี่ห้อ Goodyear รุ่น Cargo Marathon2 เหมาะกับการใช้งานเชิงพาณิชย์ จุดเด่นยางค่ายนี้เน้นการบรรทุกของหนัก ลายดอกยางช่วยกระจายแรงกด ทำให้ยางมีความทนทานวิ่งได้ยาวนาน มีล่องดอกยางเป็นแบบปิดช่วยลดเสียงรบกวนได้ดี เป็นยางที่น่าใช้งานอีกรุ่นหนึ่ง
4. ยี่ห้อ Deestone รุ่น KACHA R101 เหมาะกับการใช้งานเชิงพาณิชย์ ยางดีราคาถูกมาก คุณภาพทำได้เกินราคา เป็นยางของประเทศไทยส่งเข้าประกวด กระแสมาแรงแซงทุกยี่ห้อเพราะมีจุดเด่นที่ราคา ส่วนคุณภาพจะให้นุ่มเงียบเหมือนยางราคาแพงก็คงไม่ถึงขนาดนั้น
ทั้งหมดนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งในการประกอบการตัดสินใจของผู้ที่ต้องการหาข้อมูลเพื่อการเปรียบเทียบรุ่นและยี่ห้อทั้งนี้ต้องดูการใช้งานของคุณเป็นหลักและความชอบแต่ละคนก็แตกต่างกันหากมีเวลาลองศึกษาหาข้อมูลสักนิดก่อนคิดจะซื้อยางเพื่อให้ตอบสนองกับการใช้งานที่ต้องการ
การเลือกใช้ล้อรถให้เหมาะกับการใช้งาน
การแต่งรถนั้นถือเป็นส่วนประกอบสำคัญ ซึ่งยังมีกลุ่มที่นิยมตกแต่งรถให้ดูสวยงาม โดยเฉพาะรถล้อที่ทุกคนจะให้ความสำคัญ เพื่อการใช้งานและความสวยงามต่างๆ ทั้งนี้เรามาทำความเข้าใจกับล้อในแบบต่างๆ เพื่อจะทำให้ตัดสินใจได้ง่าย
ล้อเหล็ก(ล้อกระทะ)
ข้อดี
เนื่องจากผลิตจากเหล็ก จึงมีความทนทานเป็นเยี่ยม ยืดหยุนได้มากกว่าเฉี่ยวชนมีแต่คต รับรองไม่มีแตก แถมยังทนต่อการกัดกร่อนสูง ไม่ว่าจะเป็นปัสสาวะ น้องหมา น้องแมว ทนได้หมด มิหนำซ้ำยังมีราคาแสนถูกเนื่องจากวัสดุหาง่าย การผลิตไม่ซับซ้อน ซ้ำยังไม่ค่อยสูญหายเนื่องจากไม่เป็นที่สะดุดตาของขโมยขโจร
ข้อเสีย
ไม่มีความสวยงาม มีน้ำหนักมาก ส่งผลให้แรงต้านในการหมุนมากกว่า สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากกว่า ด้วยเหตุผลนี้จึงมักผลิตออกมาเฉพาะหน้าแคบ ใส่ยางได้ขนาดไม่ใหญ่นัก เพื่อให้ระบบช่วงล่างไม่ตอบสนองช้าจนเกินไป
“ล้อแม็กแท้” ผลิตมาจาก “แม็กนีเซียมอัลลอย”
ข้อดี
น้ำหนักเบามาก จึงสามารถผลิตหน้ากว้างมาก ๆ แรงต้านการหมุนน้อยและน้ำหนักใต้สปริงต่ำ ส่งผลให้ระบบช่วงล่างตอบสนองได้ดีมากในทุกช่วงความเร็ว
ข้อเสีย
ราคาสูง และด้วยคุณลักษณะของแม็กนีเซียม ที่น้ำหนักเบาแต่สึกกร่อน เสียหายง่าย จึงมักผลิตมาใช้ในสนามแข่งขันรถยนต์ทางเรียบเป็นหลัก
“ล้ออลูมินั่ม อัลลอย” ล้อชนิดนี้แหละที่เราใช้กันอยู่และเรียกกันติดปากว่า “ล้อแม็ก” ซึ่งผลิตมาจาก “อลูมินั่ม อัลลอย” ที่นำมาใช้แทนแม็กนีเซียม
ข้อดี
มีคุณสมบัติ ทนทาน น้ำหนักเบา แม้จะเบาสู้ “แม็กนีเซียม” ไม่ได้แต่มีความทนทานที่มากกว่าเข้ามาทดแทน ลวดลายสวยงาม และด้วยน้ำหนักที่เบาส่งผลให้ช่วยประหยัดน้ำมันได้นิดหน่อย แถมผลิตหน้ากว้างให้สามารถใส่ยางหน้ากว้างเพื่อเพิ่มความยึดเกาะถนนและระบายความร้อนได้ดีขึ่น ส่งผลให้ระบบช่วงล่างตอบสนองได้ดีในทุกช่วงความเร็ว และไม่เป็นสนิม
ข้อเสีย
ราคาแพงกว่า “ล้อกระทะ” ไม่ทนต่อการกัดกร่อนมากนัก เมื่อน้องหมา น้องแมว ปัสสาวะใส่ ต้องรีบล้างทำความสะอาด เสี่ยงต่อการสูญหายหากจอดรถนอกบ้าน ทุกอย่างล้วนเป็นข้อมูลเพื่อการเปรียบเทียบล้อต่างๆ ซึ่งแต่ละแบบจะมีคุณสมบัติแตกต่างกันไป สามารถเลือกใช้งานได้อย่างถูกวิธีอีกด้วย ถือเป็นข้อมูลส่วนหนึ่งที่จะทำให้ตัดสินใจการซื้อล้อได้เป็นอย่างดี
เปลี่ยนล้อกระทะหรือล้อแม๊กเดิมติดรถ อันไหนปลอดภัยกว่ากัน?
มาเริ่มศึกษากันในส่วนของรถบรรทุก ซึ่งปัจจุบันจะมีคำถามจากหลายๆเสียง ว่าควรใช้ล้อประเภทไหนแล้วจะมีความปลอดภัยและแข็งแรงทนทาน
การใช้รถกระบะบรรทุก ในกรณีที่บรรทุกของไม่เกิน1.2ตัน สามารถใช้ล้อแม็กเดิมได้ แต่ล้อจะรับน้ำหนักได้มากแค่ไหนเท่านั้นเอง ซึ่งครั้งแรกอาจจะรับไหว แต่ถ้าใช้งานเป็นประจำอาจจะทำให้ล้อสึกหรอได้ หากน้ำหนักบรรทุกเกิน1.2ตัน เปลี่ยนแค่ล้อหลังสำหรับการใช้งานก็พอ เป็นล้อกระทะขนาด7นิ้ว ส่วนยางก็เปลี่ยนเป็นขนาด 225/75xcd2 มีทั้งขอบ14 ขอบ15 เมื่อทำการเปลี่ยนยางหลังจะสูงกว่าล้อเดิมขึ้นมาหน่อย แต่ถ้าบรรทุกเยอะๆใส่กะทะผ่า มันจะยื่นออกมา ก็ช่วยในการทรงตัวของทรงได้ดี ทั้งนี้ซึ่งจะต้องคำนึงถึงความปลอดในหลายๆด้าน เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่างๆตามมาอีกด้วย
สรุปได้ว่าการใช้ล้อแม็กเดิมสามารถใช้งานได้ตลอด แต่หากมีการบรรทุกของที่มีน้ำหนักจนมากเกินไป ควรทำการเปลี่ยนล้อ และเปลี่ยนขนาดยางรถยนต์ เพื่อให้บรรทุกน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพจะทำให้มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
วิธีดูขนาดล้อกระทะกับรถที่ใช้ ความรู้เน้นๆ
เมื่อเราเลือกใช้รถยนต์เป็นพาหนะนำทางแล้ว ก่อนจะใช้รถยนต์ควรทำความรู้และศึกษาหาความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับทุกส่วนภายในรถยนต์ของเรา เพื่อเป็นข้อมูลที่สำคัญ มาเริ่มกันที่ แก้มของยางรถยนต์ ซึ่งจะบอกขนาดของยาง, ผู้ผลิต, รุ่น, อัตราสูงสุดของการเติมลม, ความสามารถในการรับน้ำหนัก, ความเร็วสูงสุดที่สามารถรับ(วิ่ง)ได้, วันที่ผลิต(สัปดาห์/ ปี ค.ศ.), และข้อความเตือนเกี่ยวกับความปลอดภัยต่างๆ จะมีการสังเกตุง่ายๆ ดังนี้
ตัวอย่างเช่น P185/75 R14 82S DOT 0500
P หมายถึง ถูกออกแบบให้ใช้กับรถยนต์นั่ง (passenger car)
185 หมายถึง หน้ากว้างของยาง ซึ่งมีหน่วยวัดเป็นมิลลิเมตร
75 หมายถึง ความกว้างของแก้มยาง มีหน่วยเป็นเปอร์เซ็นต์ เมื่อ เทียบสัดส่วนกับหน้ากว้างของยาง
R หมายถึง เป็นยางเรเดียล ซึ่งยางเกือบทั้งหมดเป็นยางเรเดียลอยู่แล้ว ในบางโอกาสอาจจะเห็นอักษรตัวอื่น ซึ่งมีอยู่น้อยมาก เช่น D หรือ B ซึ่งแสดงถึงว่าเป็นยางแบบ bias ply tire (ห้ามใช้ยางแบบเรเดียล และ bias ply tire) ผสมกัน
14 หมายถึง เส้นผ่าศูนย์กลางของกะทะล้อ มีหน่วยวัดเป็นนิ้ว
82 หมายถึง ดรรชนีน้ำหนักบรรทุก (load index) ซึ่งกำหนด โดยผู้ผลิตยาง (Rubber ManufacturersAssociation)
S หมายถึง ความสามารถในการทำความเร็วสูงสุด (Tire’s maximum speed rating)
0500 หมายถึง วันที่ผลิต
ตัวเลขหลังตัวอักษร DOT เป็นเลข 3-4 หลัก จะบอกถึงวันที่ผลิต
ตัวเลข 2 ตัวแรก 05 บอกถึงสัปดาห์ที่ทำการผลิตคือ สัปดาห์ที่ 5 ของปี
ตัวเลข 2 ตัวหลัง 00 บอกถึงปีที่ผลิต ในที่นี้คือปี ค.ศ. 2000
ซึ่งเป็นข้อมูลเบื้องต้นสำหรับการดูแลรักษารถยนต์และรู้วันเดือนปีที่ผลิต เป็นผลดีแก่การใช้งาน เพราะเมื่อใช้ไปนานๆแล้ว ก็ต้องมีการสึกหรอของล้อกระทะและยางรถยนต์ เพราะฉะนั้นการสังเกตุตัวเลขที่แก้มยางนั้น ถือเป็นส่วนสำคัญในการใช้งาน ต้องหมั่นตรวจเช็คและดูแลรถยนต์อยู่เสมอ หลักวิธีการง่ายๆเพียงเท่านี้ก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้ และเรียนรู้อีกด้วย นอกจากนี้ยังเป็นสัญญาณสำคัญที่จำทำให้ทราบถึงว่าเมื่อไรควรเริ่มเปลี่ยนล้อกระทะ เพื่อการใช้งานที่มีประสิทธิภาพที่ดี และไม่ละเลยรถยนต์ เพราะเปรียบเสมือนร่างการของคนเราที่ต้องการ การดูแลเอาใจใส่ หากไม่มีการตรวจสอบหรือดูแลรักษา สภาพการใข้งานของรถยนต์นั้นก็จะหมดสภาพไว อยากให้รถยนต์มีสภาพที่คงทนอยู่นานต้องดูแลรักษาเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้
กระบวนการผลิตล้อกระทะรถยนต์ และชนิดของล้อแม็ก
ว่าด้วยเรื่องของกระบวนการผลิตล้อกระทะรถยนต์
ล้อกระทะ สามารถแบ่งได้ 3 แบบ คือ แบบล้อกระทะเหล็กกล้าอัดขึ้นรูป แบบล้อกระทะซี่ลวด และล้อกระทะโลหะผสม หรือล้อแมก
ล้อกระทะแบบเหล็กกล้าอัดขึ้นรูป
เป็นล้อกระทะที่ได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากล้อกระทะมีความแข็งแรงและสามารถต้านต่อการเกิดอุบัติเหตุที่มีแรงกระทำต่อล้อได้เป็นอย่างดี อีกทั้งล้อกระทะแบบนี้สามารถผลิตได้ง่าย และคราวละมาก ๆ โครงสร้างของล้อกระทะประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ขอบล้อกระทะ และจานล้อกระทะ โดยขอบล้อกระทะ จะมีลักษณะต่ำตรงกลาง หรือเว้าตรงกลาง
วัตถุประสงค์เพื่อให้ง่ายต่อการถอด-ใส่ยางรถยนต์ และด้านข้างของขอบล้อกระทะจะมีลักษณะเป็นสันนูนยกขึ้น เพื่อป้องกันการเลื่อนไถล หรือป้องกันการหลุดของยาง เมื่อยางมีลมอ่อน และเป็นการช่วยป้องกันการรั่วซึมของลม ส่วนจานล้อกระทะหรือสไปเดอร์ ตรงกลางของจานล้อกระทะจะมีรู เพื่อใส่กับดุมล้อ รอบ ๆ รูใส่ดุมล้อจะมีรูไว้สำหรับร้อยน็อตล้อ ยึดระหว่างล้อกระทะกับดุมล้อ โดยทั่วไปรูเจาะร้อยน็อตจะมี 4-6 รู ขอบล้อกระทะ และจานล้อ จะใช้หมุด หรือวิธีการเชื่อมติด เพื่อยึดทั้ง 2 ส่วนเข้าด้วยกัน ล้อกระทะที่ดี จะต้องไม่เบี้ยวหรือเแกว่งเพื่อป้องกันอันตรายที่เกิดขึ้นกับตัวล้อขณะที่รถแล่น
ล้อกระทะซี่ลวด (Wire Spokes Wheel)
ส่วนล้อกระทะแบบนี้นิยมใช้งานกับรถแข่ง รถสปอร์ต หรือรถจักรยานยนต์ ซึ่งเป็นล้อกระทะที่มีน้ำหนักเบา แต่มีความแข็งแรงสูงมาก สามารถถอดเปลี่ยนล้อได้อย่างรวดเร็ว มีเกลียวล็อกล้ออยู่ตรงกลางอันเดียว ล้อกระทะแบบซี่ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนของขอบล้อ ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับขอบล้อกระทะของล้อกระทะแบบเหล็กกล้าอัดขึ้นรูป ส่วนที่สอง คือ ซี่ลวด ซึ่งใช้แทนจานล้อกระทะในล้อแบบเหล็กกล้า ซี่ลวดทำด้วยเหล็กกล้าที่มีความแข็งแรงสูงใช้วิธีการยึดแบบไขว้ไปมา โดยทั่วไปซี่ลวดจะรับแรงดึงได้มากกว่าแรงกด ความแข็งแรงของล้อกระทะแบบซี่ลวด ขึ้นอยู่กับขอบล้อกระทะ และการร้อยซี่ลวดระหว่างปลอกสวมดุมล้อ และขอบล้อกระทะ
ล้อกระทะโลหะเบาผสม (Cast Light alloy Wheel) หรือล้อแมก (Mag)
ล้อกระทะรุ่นนี้จะผลิตโดยการหล่อ โดยใช้โลหะเบาผสมกัน คืออะลูมิเนียม กับแม็กนีเซียม ซึ่งทำให้ล้อกระทะแบบนี้ มีน้ำหนักเบา และแข็งแรงกว่าล้อกระทะแบบเหล็กกล้า ในปัจจุบันจึงมีความนิยมใช้ล้อแมกกับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลมากขึ้น เพราะว่าล้อกระทะแบบนี้มีข้อดี กว่าล้อกระทะแบบอื่น ๆ ดังนี้
- มีน้ำหนักเบา เมื่อเทียบกับล้อกระทะแบบเหล็กกล้า เนื่องจากการหล่อผสมรวมของ อะลูมิเนียม กับแม็กนีเซียม
- ล้อมีความแข็งแรง จากที่กล่าวมาแล้ว โลหะผสมที่หล่อรวมกันทำให้ล้อมีน้ำหนักเบา ส่งผลให้ล้อแบบนี้มีหน้าตัดที่หนากว่าล้อกระทะแบบเหล็กกล้า จึงทำให้ล้อกระทะแบบแมกแข็งแรงกว่าล้อแบบเหล็กกล้าอัดขึ้นรูป
- ล้อแมกสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการเกาะถนน อันเนื่องจากล้อแมกมีพื้นที่ของล้อมาก และหน้ากงล้อกว้าง ทำให้สามารถใส่ยางหน้ากว้างได้ ซึ่งเป็นการเพิ่มพื้นที่สัมผัสกับถนนมากขึ้น ส่งผลทำให้รถช่วยเกาะถนนได้ดีขึ้น โดยเฉพาะเวลาที่รถเข้าโค้ง
- การระบายความร้อนของล้อได้ดี เมื่อรถมีการเบรก หรือการเลี้ยวโค้งทำให้เกิดความร้อนที่ล้อรถยนต์ โลหะผสมของล้อแมกมีคุณสมบัติในการระบายความร้อนได้ดี เนื่องจากเป็นตัวนำที่ดี ทำให้ช่วยลดความร้อนได้อย่างรวดเร็วกว่าล้อกระทะแบบเหล็กกล้า
นอกจากข้อดีของ ล้อกระทะแบบโลหะผสมเบา หรือล้อแมก แล้ว ล้อกระทะแบบนี้ยังมีข้อเสีย อาจกล่าวโดยสรุปได้ดังนี้
- ล้อแมกมักจะทำปฏิกิริยากับละอองของเกลือ
- ล้อกระทะแมก มักเกิดการสึกกร่อนเกี่บวกับการแยกตัวทางไฟฟ้า ซึ่งเกิดจากการสัมผัสของเหล็กกล้ากับโลหะเบา แนวทางการแก้ไขโดยการป้องกันการสัมผัสของวัตถุทั้งสองชิ้น โดยการใช้จาระบีทาที่สตัสที่ร้อยยึดล้อกระทะกับดุมล้อ ส่วนในการถ่งล้อ ควรใช้กาวติดตัวถ่วง เพื่อป้องกันการสัมผัสกัน
- ล้อกระทะแมก ถึงแม้จะมีน้ำหนักเบา และแข็งแรง แต่เปราะ ดังนั้นเมื่อเกิดการกระแทก หฟรือการประทะอย่างแรง อาจทำให้เกิดการชำรุดเสียหาย ง่าย หรืออาจเกิดอุบัติเหตุแก่ผู้ใช้รถได้
ชนิดของล้อแม็ก
ล้อแม็ก ไม่ได้มีมาตรฐานใดๆบังคับใช้งาน ขึ้นอยู่กับกรรมวิธีผลิตของโรงงานล้วนๆ ยกเว้นแต่ในประเทศเยอรมันและญี่ปุ่นที่มีกฎระเบียบว่า ล้อแม็กที่ผลิตแล้วใช้งานต้องได้มาตรฐานจากรัฐ และสามารถใช้งานได้เป็นอย่างดี ส่วนในสหรัฐอเมริกากำลังพยายาม ทำกฎระเบียบและมาตรฐานให้เท่าเทียบกับในเยอรมันและญี่ปุ่น
ชนิดของล้อแม็กต่างๆ ตามกระบวนการผลิต
ล้อแม็ก มี 2 ชนิด ดังนี้
1.ล้อแม็กแบบชิ้นเดียว (One-piece Cast Wheel)
เป็นล้อแม็กชนิดที่พบมากที่สุด เป็นการขึ้นรูปล้อทั้งวงในแม่พิมพ์โดยใช้อลูมิเนียนเหลว ฟังดูเหมือนง่าย แต่มเป็นศิลปะอย่างแท้จริง
1.1 หล่อแบบใช้แรงโน้มถ่วง (Gravity Casting)
การหล่อแบบนี้เป็นเบสิกพื้นฐานที่สุด สำหรับกระบวนการใส่อลูมิเนียมเหลวลงในแม่พิมพ์ เป็นการเทลงไปในแม่พิมพ์เฉยๆนี่เอง โดยใช้ประโยชน์จากแรงโน้มถ่วงของโลกเราเอง การหล่อแบบนี้ช่วยประหยัดต้นทุนในการผลิต เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วๆไปที่ไม่ได้เน้นว่า น้ำหนักของล้อต้องเบาและแข็งแรงเป็นพิเศษ เพราะการ ใช้แรงโน้มถ่วงเฉยๆ ความหนาแน่นของอลูมิเนียมเหลวในแม่พิมพ์จะไม่มาก ไม่ได้ถูกบีบอัดเหมือนการหล่อในชนิดอื่นๆ โดยปกติล้อชนิดนี้จะมี น้ำหนักมากกว่า ล้อที่ผลิตโดยวิธีอื่น
1.2 หล่อแบบใช้ความดันต่ำ (Low Pressure Casting)
ใช้แรงดันในการฉีดอลูมิเนียมเหลวเข้าไปในแม่พิมพ์ รวดเร็วกว่าแบบแรก ทำให้ได้ล้อแม็กที่มีคุณสมบัติทางกลศาสตร์ที่ดีกว่า คือความหนาแน่นของอลูมิเนียมที่มากกว่าแบบแรก กระบวนการผลิตแบบนี้ จะมีต้นทุนที่สูงกว่าแบบแรก กระบวนการผลิตชนิดนี้เป็นแบบที่ธรรมดาสามัญที่สุด ที่ได้รับการอนุมัติให้จำหน่ายสู่ตลาด O.E.M. อย่างไรก็ดี ผู้ผลิตล้อแม็ก ก็ยังคงพยายามหากระบวนการผลิตที่ดีกว่านี้ เพื่อให้ ล้อน้ำหนักเบาขึ้นและแข็งแรงขึ้น แต่แน่นอนล่ะมันทำให้ต้นทุนสูงขึ้นด้วย
1.3 SPUN-RIM, FLOW-FORMING OR RIM ROLLING
กระบวนการใส่อลูมิเนียมเหลงลงในจะแม่พิมพ์จะใช้แรงดันต่ำ เหมือนแบบที่สอง แต่จะใช้เครื่องจักรพิเศษที่จะหมุนแม่พิมพ์ในตอนเริ่มต้นหล่อ, ให้ความร้อนเพิ่มเติมที่ส่วนด้านนอก ของล้อที่กำลังขึ้นรูป และยังมีตัวกลิ้งเหล็กกล้า ที่จะคอยกดบริเวณขอบของล้อแม็ก เพื่อให้ได้รูปทรงและความกว้างที่ต้องการ การรวมกันของความร้อน, แรงดัน และการหมุน ทำให้บริเวณขอบของล้อแม็กมีความแข็งแกร่งคล้ายกับล้อชนิด Forged โดยไม่ต้องใช้ต้นทุนที่สูงเท่า ล่อชนิดนี้จะผลิตให้ตลาด O.E.M. ที่ต้องการล้อสมรรถนะสูง การผลิตล้อแม็กวิธีนี้ทำให้ได้ล้อที่เบา และแข็งแรงด้วยราคาที่สมเหตุสมผล ผู้ผลิตล้อแม็ก BBS ใช้เทคโนโลยีนี้ในการผลิตล้อแข่งให้กับ Formula 1 และรถอินดี้ RC wheel ของ BBS เป็นล้อในตลาดทั่วไปที่ใช้การผลิตวิธีนี้
1.4 Forged/Semi-solid Forged
เป็นล้อแบบชิ้นเดี่ยวที่เยี่ยมที่สุด Forging เป็นกระบวนการอัดหรือกด อลูมิเนียมชิ้นเล็กๆในสภาวะของแข็งเข้าไปในตัวแม่พิมพ์ ภายใต้แรงดันอันมหาศาล ล้อแม็กที่ผลิตขึ้นจึงมีความหนาแน่นสูงมากๆ แข็งแรงมากๆและก็น้ำหนักเบา แต่ต้นทุนของอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆในการผลิตสูงมากๆด้วย ทำให้ราคาล้อชนิดนี้ในตลาดสูงอย่างมาก
1.5semi-solid forged (SSF)
เป็นการผลิตที่จะให้ความร้อน อลูมิเนียมชิ้นเล็กๆในสภาวะของแข็งจนกระทั่งเกือบจะเป็นสภาวะของเหลว จากนั้นจึงบีบอัดเข้าแม่พิมพ์ด้วยความเร็วสูง ล้อแม็กที่ได้จะมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับล้อชนิด Forged แต่ต้นทุนในการผลิตต่ำกว่า เมื่อเราให้ความสำคัญ กับน้ำหนักที่เบาและสมรรถนะ ล้อที่ผลิตแบบ SSF ถื่อว่าคุ้มค่าเป็นอย่างมาก ทุกวันนี้เทคโนโลยีแบบ SSF นี้เป็นของ SSR(Speed Star Racing) จากประเทศญี่ปุ่น เป็นผู้มีลิขสิทธิ์เทคโนโลยี SSF แต่เพียงผู้เดียว
2.ล้อแม็กแบบหลายชิ้น (Multi-Piece Wheel)
ล้อชนิดนี้จะมีชิ้นส่วนประกอบ 2-3 ชิ้นมาประกอบกันเพื่อให้ได้ล้อแม็กที่สมบูรณ์ ล้อชนิดนี้มีขั้นตอนการผลิตหลายแบบ อาทิเช่น ส่วนกลางของล้ออาจใช้การหล่อวิธีต่างๆหรือ Forged ส่วนขอบของล้อ สำหรับ ล้อแบบ3ชิ้น จะใช้การขึ้นรูปแบบการปั่นแผ่นอลูมิเนียม ส่วนขอบของล้อแม็กจะยึดกับส่วนกลางของล้อแม็กด้วยสารผนึก ล้อชนิดนี้ส่วนขอบจะสามารถเปลี่ยนแปลง ให้ขึ้นกับการใช้งานได้ ล้อชนิดนี้เริ่มต้นใช้ในการแข่งรถแต่งปัจจุบันก็มีขายในตลาดทั่วไป นิยมไซท์ตั้งแต่17นิ้ว ล้อชนิด 2 ชิ้นจะคล้ายกับแบบ 3 ชิ้นแต่ว่าจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้เข้ากับการใช้งานได้ เนื่องจากส่วนของขอบล้อแม็กกันส่วนกลางจะยึดติดด้วยการเชื่อมตาย ไม่สามารถแยกออก จากกันได้ แต่ล้อแบบ 2 ชิ้นจะนิยมมากกว่าในตลาดการใช้งานทั่วไป
ล้อกระทะ อัลลอย แม็ก มีข้อดีและข้อเสียอย่างไร?
ว่าด้วยการรู้ก่อนได้เปรียบ ในยุคสมัยสังคมปัจจุบันกับการเลือกซื้อเลือกใช้รถยนต์มีอยู่เป็นจำนวนมาก มีรถยนต์เกือบทุกหลังคาเรือนเลยก็ว่าได้ เหมือนเรามีรถยนต์ก็ต้องเริ่มศึกษาเรียนรู้หาข้อมูลในส่วนประกอบสำคัญต่างๆในรถยนต์ของเรา เพื่อจะทำให้เรารู้ถึงอาการของรถได้เป็นอย่างดี มาเริ่มทำความรู้จักกับล้อกระทะกันดีกว่า
ไม่ว่าล้อประเภทใด ก็มีหน้าที่เหมือนกัน อาจจะแตกต่างกันบ้างตามคุณสมบัติของวัสดุที่นำมาผลิต หากเลือกใช้ให้ตรงวัตถุประสงค์ก็จะยิ่งเพิ่มความปลอดภัยในทุกการเดินทาง เมื่อมีรถยนต์ ย่อมปฎิเสธไม่ได้ว่าสิ่งแรก ๆ สำหรับ
คนชอบแต่งรถคือการเปลี่ยน “ล้อแม็ก” แต่เชื่อว่าส่วนใหญ่มักจะเลือกจากรูปลักษณ์ภายนอก ว่าโดนใจหรือไม่ แถมยังมีเสียงเชียร์จากคนขายคอยเป็นแรงกระตุ้น โดยยังไม่เข้าใจเลยว่า ล้อแต่ละประเภท ถึงจะมีหน้าที่หมุนตามกำลังเครื่องยนต์ของรถเหมือนกัน แต่ก็ยังมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันออกไป “รู้ก่อนเหยียบ”จึงขอนำท่านมารู้จัก “ล้อรถยนต์” ที่มีใช้อยู่ในปัจจุบัน
ล้อเหล็ก (ล้อกระทะ) มีข้อดีและข้อเสียอย่างไร
ข้อดี
-เนื่องจากมีการผลิตจากเหล็ก จึงมีความทนทานเป็นเยี่ยม ยืดหยุนได้มากกว่าเฉี่ยวชนมีแต่คต รับรองไม่มีแตก แถมยังทนต่อการกัดกร่อนสูง ไม่ว่าจะเป็นปัสสาวะ น้องหมา น้องแมว ทนได้หมด มิหนำซ้ำยังมีราคาแสนถูกเนื่องจากวัสดุหาง่าย การผลิตไม่ซับซ้อน ซ้ำยังไม่ค่อยสูญหายเนื่องจากไม่เป็นที่สะดุดตาของขโมยขโจร
ข้อเสีย
-อาจจะไม่มีความสวยงามเท่ากับรถแม็ก แต่มีสภาพที่คงทนอย่างแน่นอน มีน้ำหนักมาก ส่งผลให้แรงต้านในการหมุนมากกว่า สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากกว่า ด้วยเหตุผลนี้จึงมักผลิตออกมาเฉพาะหน้าแคบ ใส่ยางได้ขนาดไม่ใหญ่นัก เพื่อให้ระบบช่วงล่างไม่ตอบสนองช้าจนเกินไป
ว่ากันว่า ….“ล้อแม็กแท้” ผลิตมาจาก “แม็กนีเซียมอัลลอย” ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสียดังนี้
ข้อดี
– มีน้ำหนักเบามาก จึงสามารถผลิตหน้ากว้างมาก ๆ แรงต้านการหมุนน้อยและน้ำหนักใต้สปริงต่ำ ส่งผลให้ระบบช่วงล่างตอบสนองได้ดีมากในทุกช่วงความเร็ว
ข้อเสีย
-มีราคาสูง และด้วยคุณลักษณะของแม็กนีเซียม ที่น้ำหนักเบาแต่สึกกร่อน เสียหายง่าย จึงมักผลิตมาใช้ในสนามแข่งขันรถยนต์ทางเรียบเป็นหลัก
“ล้ออลูมินั่ม อัลลอย” ล้อชนิดนี้แหละที่เราใช้กันอยู่และเรียกกันติดปากว่า “ล้อแม็ก” ซึ่งผลิตมาจาก “อลูมินั่ม อัลลอย” ที่นำมาใช้แทนแม็กนีเซียม
ข้อดี
– มีคุณสมบัติ ทนทาน น้ำหนักเบา แม้จะเบาสู้ “แม็กนีเซียม” ไม่ได้แต่มีความทนทานที่มากกว่าเข้ามาทดแทน
ลวดลายสวยงาม และด้วยน้ำหนักที่เบาส่งผลให้ช่วยประหยัดน้ำมันได้นิดหน่อย แถมผลิตหน้ากว้างให้สามารถใส่ยางหน้ากว้างเพื่อเพิ่มความยึดเกาะถนนและระบายความร้อนได้ดีขึ่น ส่งผลให้ระบบช่วงล่างตอบสนองได้ดีในทุกช่วงความเร็ว และไม่เป็นสนิม
ข้อเสีย
-มีราคาสูงและแพงกว่า “ล้อกระทะ” ไม่ทนต่อการกัดกร่อนมากนัก เมื่อน้องหมา น้องแมว ปัสสาวะใส่ ต้องรีบล้างทำความสะอาด เพื่อไม่ให้สึกหรอไว และเสี่ยงต่อการสูญหายหากจอดรถนอกบ้านอีกด้วย